@JD33
เข้ากลุ่มครอบครัวฟุตบอล คลิกที่นี่ @JD33
logo
Menu

วิจารณ์ กระแสต่างประเทศ: “แมนฯซิตี้” กับปัญหาแนวรุก By: Colly

ความตกต่ำของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยังคงดำเนินต่อไปเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เมื่อถูก ไบรท์ตัน พลิกสถานการณ์กลับมาเอาชนะพวกเขาไปได้ด้วยสกอร์ 2-1 หลังจากพ่ายแพ้ในลีกคัพและแชมเปี้ยนส์ลีก ผลการแข่งขันล่าสุดทำให้ เป๊ป กวาร์ดิโอลา แพ้ 4 นัดติดต่อกันเป็นครั้งแรกในอาชีพผู้จัดการทีม และส่งผลให้ แมนฯ ซิตี้ตามหลังลิเวอร์พูลอยู่ 5 คะแนน ทำให้หลายคนสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับทีมที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาแล้วถึง 6 ครั้งจาก 7 ฤดูกาลหลังสุด
.
แม้จะมีทีมที่มีค่าตัวสูง แต่กวาร์ดิโอลาจำเป็นต้องดันนักเตะจากทีมเยาวชนมาลงเล่นเนื่องจากมีนักเตะตัวหลักบาดเจ็บหลายคน ซึ่งในเกมกับไบรท์ตัน เป๊ป ขาดผู้เล่นสำคัญหลายคน อาทิ รูเบน ดิอาส, มานูเอล อาคันจี, จอห์น สโตนส์, โรดรี้, เฌเรมี โดกู และแจ็ค กรีลิช
.
ถึงแม้ว่าซิตี้จะขาดผู้เล่นสำคัญ แต่ 11 ตัวจริงในวันเสาร์ยังมีมูลค่ารวมถึง 645 ล้านยูโร ซึ่งเกือบสามเท่าของไบรท์ตันที่มีมูลค่าเพียง 231.4 ล้านยูโร ดูเหมือนว่าปัญหาของทีมจะไม่ได้มาจากการขาดผู้เล่นที่บาดเจ็บเพียงอย่างเดียว แต่นักเตะที่ยังลงสนามได้ก็เป็นปัญหาเช่นกัน
.
ยกตัวอย่างเช่น เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ โดยในเกมวันเสาร์ที่ผ่านมา แม้แมนฯ ซิตี้จะแพ้ แต่เออร์ลิง ฮาลันด์ก็ยังสร้างสถิติใหม่ด้วยการเป็นผู้เล่นที่ทำได้ถึง 75 ประตูในพรีเมียร์ลีกเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยทำได้ 12 ประตูจาก 11 เกมแรกของฤดูกาลนี้ (นับเฉพาะในลีก) ทำให้สถิติของเขาคือ 75 ประตูใน 77 เกม ซึ่งแซงหน้าอลัน เชียเรอร์ที่เคยทำได้ใน 93 เกม ถึงแม้ฟอร์มการยิงประตูของฮาลันด์จะยอดเยี่ยม แต่ก็กลายเป็นดาบสองคมสำหรับทีมของกวาร์ดิโอลาในฤดูกาลนี้
.
ซิตี้ดูเหมือนจะพึ่งพาการทำประตูจากฮาลันด์มากเกินไป โดยตัวเลขแสดงให้เห็นชัดเจนว่าผู้เล่นที่ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกสูงสุดรองจากฮาลันด์คือ มาเตโอ โควาซิช และ ยอสโก้ กวาร์ดิโอล ที่ทำได้เพียงสามประตูเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีเพียง โดกู และ เควิน เดอ บรอยน์ ที่ทำประตูได้เพียงคนละลูกในลีก
.
นั่นหมายความว่าฮาลันด์เป็นแหล่งทำประตูหลักเพียงคนเดียว โดยเขาทำประตูคิดเป็น 55% ของทีมในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่สูงที่สุดในลีกและสูงสุดในอาชีพของเขานับตั้งแต่ย้ายมาเล่นในลีกใหญ่ของยุโรป ซึ่งแม้แต่ในบุนเดสลีกากับดอร์ทมุนด์ เขายังทำประตูได้เพียง 36% ของทีมเท่านั้น แต่ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นมากในฤดูกาลนี้ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญสำหรับกวาร์ดิโอล่า
.
จริงอยู่ที่ ฮาลันด์ คือดาวยิงอัจฉริยะที่นานๆจะมีซักคน แต่หากพึ่งพาเขาแค่คนเดียว แน่นอนว่าคู่แข่งย่อมจับทางได้ง่าย (แต่จะเอาอยู่หรือไม่อันนั้นอีกเรื่องนะ) มันเป็นสถานการณ์เหมือนรุด ฟาน นิสเตลรอย ในซีซั่นสุดท้ายกับแมนฯยูไนเต็ดนั่นแหละ
.
อีกหนึ่งปัจจัยที่น่าสนใจคือฟอร์มของฟิล โฟเด้น ที่ตกต่ำลงไปในฤดูกาลนี้ โดยเขายังไม่สามารถทำประตูได้เลยและมีเพียงแอสซิสต์เดียวจากการลงเล่น 8 นัด ค่าเฉลี่ยการทำประตูและแอสซิสต์ต่อ 90 นาทีของเขาลดลงจาก 0.85 ในฤดูกาลที่แล้วเหลือเพียง 0.20 ซึ่งลดลงถึง 76% และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ฮาลันด์ต้องเป็นตัวหลักเพียงคนเดียว
.
ปัจจัยสำคัญหนึ่งอาจมาจากความฟิตของโฟเด้น เนื่องจากเขาพลาดสามเกมแรกของฤดูกาลเนื่องจากอาการป่วย และหลังจากนั้นลงเล่นเป็นตัวจริงเพียง 4 จาก 7 นัดถัดมา โดยค่าเฉลี่ยการลงเล่นต่อเกมของเขาลดลงจาก 82 นาทีเหลือเพียง 58 นาที นอกจากนี้โฟเด้นยังถอนตัวจากทีมชาติในช่วงเบรกนี้ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าสภาพร่างกายของเขายังมีปัญหาอยู่
.
อีกหนึ่งปัญหาซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนน่าจะรู้กันดี นั่นคือการขาดหายของ โรดรี้ ในแดนกลาง แม้ว่าโรดรี้จะถูกมองว่าเป็นผู้เล่นที่คอยคุมเกมรับ แต่เขาก็มีบทบาทในการสร้างเกมรุกด้วย โดยเมื่อฤดูกาลที่แล้วเขาเป็นผู้ช่วยแอสซิสต์สำคัญและช่วยในการสร้างโอกาสให้โฟเด้นทำประตู ดังนั้นแม้โฟเด้นจะกลับมาฟิตสมบูรณ์หลังช่วงพักเบรก แต่ทีมของกวาร์ดิโอลาอาจยังไม่สามารถกลับมาสู่ฟอร์มเดิมได้อย่างเต็มที่จนกว่าโรดรี้จะหายจากอาการบาดเจ็บ
.
หรือไม่ก็ไปซื้อใครมาเพิ่มในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะรอบ 2 โดยเร็ว ก่อนจะถูกพลพรรคหงส์แดงทิ้งห่างไปไกลกว่านี้